ความฝันสู่ความจริง : ภาค 2 ปัจจุบันที่เป็นอยู่
และแล้วก็มาถึงภาคปัจจุบัน
==========================================
ตอนนี้ก็มาทำงานเป็น Analyst อยู่ที่บริษัท ไอทีวัน
ก็คงจะพูดเท่าที่จะพูดได้ละกันเนอะ ตามความเหมาะสม
==========================================
ก่อนได้ทำงานที่นี้ก็ได้ไปสัมภาษณ์งานกับ Microsoft และก็ Accenture มา ในส่วนของ Microsoft เนื่องจากเค้าจะรับไป โดยเป็น contract คือไม่ใช่พนักงาน ประมาณ 1 ปี แถมรู้สึกว่างานที่จะต้องทำมันไม่ใช่แนว ก็เลยไม่เอา ส่วน Accenture ก็ผ่านไปจนถึงด่านสุดท้าย ก็ตอบกับเค้าไปตามจริงว่าไม่ได้ชอบเขียนโปรแกรมมากมาย แต่ถ้าเสร็จก็ภูมิใจ พี่เค้าก็ดี ก็บอกมาว่าอย่าทำงานที่ไม่ชอบเลย คือเค้าคงจะให้เราไปเป็น programmer อะนะ ก็เป็นอันว่าคุยกันได้แปปๆก็จบไป
==========================================
ส่วนของไอทีวัน เนื่องจากเรามีเพื่อนคนนึงเข้าไปก่อนคนอื่นๆเค้า ก็เลยศึกษาได้จากภายใน ว่าบริษัทเป็นยังไง เราเห็นว่าน่าสนใจก็เลยสมัครไป ก็มีสอบข้อเขียนก่อน เนื่องจากมีคนสมัครมากพี่เค้าเลยมาที่มหาวิทยาลัยให้เลย
==========================================
ข้อเขียนก็เป็นภาษาอังกฤษมี 2 ส่วน
==========================================
1. English Essay (0.5 hour) =
ถ้าจำไม่ผิดก็จะมีประมาณ 3 ข้อให้เลือกตอบมา 2 ก็คงต้องอ่านโจทย์ดีๆ ส่วนคำถามก็จะเป็นแนวที่ใช้ถามในบริษัททั่วๆไป เอาไว้วิเคราะห์ทางด้านจิตใจของคนสมัคร [ลองๆหาอ่านได้มากมาย]เช่น จุดอ่อน จุดแข็งของคุณ หรือ คุณจะช่วยบริษัทได้อย่างไร ส่วนมากถ้าเจอคำถามประเภทนี้ถ้าตอบไปแล้วควรหาเหตุผลมาสนับสนุน รองรับ หรือ วิธีแก้ไขด้วยจะดีมาก และก็ไม่ทำให้ตัวเองดูลบจนเกินไป เช่น เป็นคนที่ขี้ลืมมากๆ แต่ยังไงก็จะพกสมุดติดตัวไว้อยู่เสมอ (ถึงแม้คุณจะมีจุดอ่อน แต่คุณก็หาวิธีแก้ไข)
นอกจากจะคิดคำตอบได้แล้วก็ต้องเขียนเรียงความเป็น โดยภาษาก็เป็นภาษาอังกฤษด้วย
แต่โดยหลักของการเขียนเรียงความนั้น ก็จะแบ่งได้ 3 ส่วน คือ
[ถ้าให้อธิบายจุดอ่อนตัวเอง]
ส่วน introduction –> ส่วนนำเข้าเรื่อง ก็จะอธิบายว่าจุดอ่อนมีอะไรบ้าง ควรมีอย่างน้อย 3 ข้อ
ส่วน body –> ส่วนเนื้อเรื่อง ก็ควรมีจำนวนย่อหน้าตามจำนวนจุดอ่อนนั้น แล้วอธิบายถึงจุดอ่อนของตน เหตุผลสนับสนุน หรืออาจมีวิธีแก้ไขลงไป
ส่วน conclusion –> ส่วนสรุป ก็สรุปอีกทีว่าจุดอ่อนของตนมีดังนี้นะ แต่ก็ได้รับการแก้ไขดังนั้นจึงไม่เป็นปัญหาอะไร ก็ว่าไป
นี่เป็นหลักการง่ายๆที่ทำยากแหะ ก็ต้องฝึกบ่อยๆนะคะ ข้าพเจ้าคิดว่าคนที่เตรียมตัวคงผ่านด่านนี้ไปได้ไม่ยากนัก
==========================================
2. Technical Skill (1 hour) =
ตอบคำถามเฉพาะทางแล้วก็มีทั้งแบบกา และก็เขียน
แบบกาก็คิดว่าไม่ยากมากน่าจะตอบกันได้ ส่วนมากเป็นทักษะการไล่โปรแกรม คิดว่าเรียนภาษาไหนมาก็ไม่สำคัญ เพราะมันคล้ายๆกัน
ส่วนแบบเขียนก็อาจจะยากขึ้นมานิดหน่อยก็เขียนโปรแกรมโดยใช้ภาษาที่ตัวเองถนัดในการทำตามที่โจทย์ต้องการ เช่นการตัดช่องว่างออกจากคำมาแสดงผล แต่ที่เห็นเป็นคะแนนเยอะอยู่ก็คงเป็นเกี่ยวกับ Database ก็มีให้ดูรูปแล้วเขียน SQL ดึงข้อมูลที่ต้องการออกมา ส่วนอย่างอื่นจำไม่ค่อยได้แล้ว
==========================================
หลังสอบข้อเขียนก็มีสอบสัมภาษณ์
ก็ต้องเดินทางไปแถวๆที่ทำงานจริงๆแล้ว ก็เจอคนมากมายไปทันพอดีๆ ไม่เกร็งอะไรมาก วันนั้นก็ดูเป็นตัวของตัวเองดี ก็ใส่ชุดนักศึกษาไปให้เรียบร้อย รองเท้าคัทชู มีแต่งหน้าเล็กๆ พร้อมมัดผมให้เป็นระเบียบ เข้าเป็นคนแรกเลย ก็เจอกรรมการ 3 คน เป็นผู้หญิง 2 ชาย 1 มาจากคนละหน่วยงานกัน (รู้เนื่องจากถามตอนเค้าเปิดโอกาสให้ถาม 555)
ก็เป็นสัมภาษณ์ภาษาไทย แต่บางคนก็โดนอังกฤษไป คำถามให้ช่วงแรกๆก็จะทำให้เราไม่เกร็งเช่นเป็นใคร เรียนที่ไหนมาา เรียนอะไรมาบ้าง ทำอะไรมาบ้าง การฝึกงาน โปรเจคที่เคยทำผ่านๆมา ส่วนมากก็จะถามที่เขียนไว้ใน Resume ดังนั้นก็ต้องเขียนในสิ่งที่เป็นจริง แล้วอธิบายได้ พอถามๆเกี่ยวกับใน Resume หมด ก็จะเริ่มถามเกี่ยวกับสิ่งที่เราเคยเขียนไว้ตอนสอบข้อเขียน แล้วก็อาจมีทดสอบการสรุปใจความโดยให้อ่าน essay ที่เค้าเตรียมมาเป็นอังกฤษ แล้วพออ่านจบก็ต้องสรุปความเลย ก็ใช้เวลาคุยไปเกือบๆชั่งโมงนึงนะ คุยกันสนุกดี อย่าเครียด แล้วก็ทำกายให้พร้อมด้วย เช่นทานข้าวมา
==========================================
พอสอบเสร็จได้นานพอควร ก็ยังไม่เห็นติดต่อมา เลยไปสอบที่ Accenture ที่จริงวันนั้นพี่ hr ITONE เค้าโทรไปหาเราแต่เราปิดเสียงเพราะจะสัมภาษณ์ เลยไม่รู้ว่าได้ทำงานแล้ว
==========================================
พอพี่เค้าโทรมาอีกทีเลยได้กลายเป็นพนักงานแล้วเย้ๆ
==========================================
เข้าไปก็มีการอบรมเกี่ยวกับบริษัท แล้วก็ได้ไปเรียนบางอย่างเพิ่มเติม เรื่อยๆ เอาไว้ใช้งาน เนื่องจากได้เป็น SD เป็นคนทำระบบ ก็เลยต้องออกไปตามที่ต่างๆซึ่งเป็นที่ทำงานของลูกค้า ไปทำระบบให้ งานก็จะแล้วแต่พี่ที่เป็นคนจัดการเรื่องนี้ดูความต้องการของหัวหน้าทีมแล้วจัดคนลงในทีม ก็ค่อยเป็นค่อยไปดี แล้วแต่จังหวะ ดวง และก็โอกาสของแต่ละคน มันไม่เหมือนกันนะ บางคนก็ได้ทำสิ่งที่ตัวเองชอบ บางคนก็ไม่ แต่เป็นอะไรที่สนุกดี เนื่องจากพอเปลี่ยนโปรเจค ก็เปลี่ยนที่อยู่ เปลี่ยนคนที่ทำงานด้วย เปลี่ยนงานที่ต้องรับผิดชอบ ถ้าใครที่ชอบความเปลี่ยนแปลงก็น่าจะชอบ เป็นอะไรที่ท้าทายอยู่เหมือนกัน แต่บางทีก็ต้องใช้กำลังกายและกำลังใจพอควร ถ้าใครมีไม่พอก็ท้อได้ไม่ยาก ตอนนี้อยู่มาปีกว่าๆก็ได้เปลี่ยนไปประมาณ 5 โปรเจค โปรเจ็คสั้นๆก็ไม่ถึง 10 วัน ยาวๆก็หลายเดือนเลยทีเดียว เจอคนซ้ำบ้าง แต่ก็ทำให้รู้จักคนเยอะดี อืมและก็ที่นี่จะดีอย่างตรงที่ว่าถ้าเราไม่รู้นอกจากจะถาม google แล้ว เรายังสามารถถามพี่ๆคนอื่นๆ ที่เราอาจไม่เคยรู้จักเลยก็ได้ ก็ดูเป็นครอบครัวดี และก็มีคล้ายสายรหัสด้วยคือมีพี่คอยดูแล ให้คำปรึกษา แล้วก็ประเมินเราด้วย ดังนั้นเราก็สามารถคุยกับพี่เค้าทั้งเรื่องงานและก็ส่วนตัว แต่ปีๆนึงก็มีคนออกไม่น้อย เนื่องจากสู้ไม่ไหว ไม่ก็ไปเรียนต่อ ไปบริษัทอื่นๆที่อาจจะดึงตัวไป ก็ทุกบริษัทก็มีข้อดี ข้อเสีย แล้วแต่ว่าเราจะเจอข้อดีของบริษัทไหนที่เหมาะสมกับเรามากกว่าบริษัทอื่นก็เท่านั้น คิดให้มากละกันนะคะ
ส่วนหน่วยงานอื่นก็จะเป็นงานอีกแบบ เช่น CS ก็จะคอยตอบคำถามลูกค้าทางโทรศัพท์ แก้ไขงานให้ในส่วนแรก ทำเท่าที่ทำได้
ส่วน AM ก็จะเป็นหน่วย support งาน หลัง SD ทำระบบเสร็จขึ้นใช้งานแล้ว หรืออาจแก้ไข เพิ่มเติมระบบไป
==========================================
เชื่อว่าคนที่อยากสอบเข้าไอทีวันคงจะหาบทความนี้เจอแล้วคงเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อยละกัน