Archive for the ‘ Trip ’ Category

Trip ไป ญี่ปุ่น – วันเดินทาง วันหก [วันที่ 02 มีนาคม 2558]

บนเครื่องบิน นั่ง Air asia นะ ก็ได้คุยกับพี่คนนึงที่พาพ่อแม่ มาเที่ยว พี่เค้าเป็นคน Friendly มากๆ ที่เราได้คุยด้วยเพราะ เรานั่งกลาง น้องนั่งริมหน้าต่าง พี่เค้านั่งริมทางเดิน บางครั้งก็แอบเกรงใจเพราะเราเข้าห้องน้ำบ่อยมาก เค้าชวนเราคุยนะ

ช่วงแรกเราก็นอนไป ยังหลับสบายอยู่ อากาศไม่เย็นมาก ก็งงเหมือนกันอุส่าห์เตรียมเสื้อกันหนาวไว้เพียบเลย

เนื่องจากเราสั่งอาหารไว้ถึงเวลาเค้าเลยเอามาส่งให้ทาน ที่จริงก็ไม่ค่อยหิวนะ คือมันทานประมาณเที่ยงคืนอะ

ทานเสร็จก็นอนต่อ แต่นอนไม่หลับละ อึดอัด คันทั้งตัวเลย ไม่รู้ว่าแพ้อะไรหรือเปล่า อดทนไป จนพี่ที่นั้งริมทางเดินออกไป เราเลยไปห้องน้ำ และก็ถอดกางเกงแลคกิ้งออก เนื่องจากอึดอัดมาก และก็เอาน้ำลูบตัวให้เย็นๆขึ้นหน่อย ในห้องน้ำเย็นกว่า แถวที่นั้งอะงง พอกลับจากห้องน้ำก็ดีขึ้น อึดอัดน้อยลง และก็หลับยาวถึงกรุงเทพ

ถึงปุปแอร์ที่อยู่บนเครื่องก็ประกาศ จำประโยคแปะๆไม่ได้ แต่ฮามาก


เริ่มด้วยภาษาไทย ลองทำเสียงตามและออกเสียงให้ดัดจริตเล็กน้อย

เราได้นำทุกท่านกลับสู่กรุงเทพ ด้วยเครื่องบิน xxx ขอให้ทุกท่านเดินทางโดยสวัสดิภาพ นำโตเกียวบานาน่า Royce และ…… พูดอีกเพียบ ไปฝากคนที่ท่านรัก และขอบคุณคุณเจนนี่ คุณนานา คุณ… ก๊วนเค้าอะนะ ที่เลือกใช้บริการของเรา จบด้วย ทรายสีเพลิงรายงานคะ

ตามด้วยภาษาอังกฤษ พูดเป็นสำเนียงร้องเพลงอะ Welcome to Thailand และมีร้องเพลง Loving you too much so much very much… และอื่นๆอีกยาว พวกเราก็นั่งขำกันไป

ตามด้วยภาษาญี่ปุ่น อันนี้ฟังไม่รู้เรื่องละ แต่คนญี่ปุ่นก็ขำ สงสัยต้องมีอะไรฮาๆแหละ

ในมุมมองของเรา เราชอบอะ ขำดี ทำให้คนอยากกลับมาใช้บริการเพื่อจะได้เจอกับคุณทรายสีเพลิง

แม่เรานี่ก็ชอบ ไปถามแอร์ว่าน้องใช่ทรายสีเพลิงไหม เค้าก็บอกว่าไม่ใช่ ทรายสีเพลิงอยู่ชั้น Business คะ แหม่อดเจอตัวจริงเลย


ถึงกรุงเทพก็ตรวจคนเข้าเมือง รอกระเป๋า และก็เรียก Taxi กลับบ้าน

ถึงบ้านปุป อยากอาบน้ำมากกกก อาบเสร็จก็นอนต่อยาวถึงเที่ยงๆอะ เพราะมาถึงก็ 7 โมงละ

ทริปนี้ก็สิ้นสุดด้วยประการเช่นนี้แล

Trip ไป ญี่ปุ่น – วันเดินทาง วันห้า [วันที่ 01 มีนาคม 2558]

ใกล้กลับเต็มที่แล้ว วันนี้ฝนตก ไปๆมาๆคือ ตกทั้งวันมา และวันจะกลับเลย

เดิมมีกำหนดการจะไปศาลเจ้าคามิกาโมะ แต่ปิดปรับปรุงเลยต้องไปอีกที่ และก็จำชื่อไม่ได้ เดินผ่านซุ้มแบบนี้

แต่มีไก่ตัวใหญ่ๆอยู่ 1 ตัวสีสวย ไกด์เล่านิทานให้ฟังด้วย แต่ลืมไปละ 555

ข้างในใหญ่พอควร ที่ญี่ปุ่นเค้าจะนับถือสิ่งที่เป็นธรรมชาติๆจับต้องไม่ค่อยได้ ไม่มีรูปสิ่งศักดิ์สิทธ์มากนัก มีหินกองอยู่เห็นไหม

ถ้าได้ทำบุญด้วยและการใช้เหรียญห้าเย็นที่มีรูตรงกลางจะทำให้สำเร็จ (ซึ่งเราหาไม่ได้เลยใช้เหรียญอื่นแทน ถือว่าเป็นการทำบุญเหมือนกันไม่คิดมากเนอะ) ที่ให้โยนเหรียญลงไปได้หน้าตาจะประมาณนี้

ที่นี้ก็มีดอกไม้สวยๆต้อนรับพวกเราด้วย

ที่จริงตอนมาถึงเค้ามีทำพิธีอะไรบางอย่างอยู่ด้วย ได้ดูแวบๆ และก็มีเด็กน่าจะวัยรุ่นๆ 3-4 คนมาเที่ยว และก็เดินร้องเพลงกัน ก็แปลกดีนะ (ถ้าให้เดาน่าจะเด็กญี่ปุ่นเพราะร้องเพลงญี่ปุ่น)

หลังจากศาลเจ้าแรกจบไป ก็มุ่งหน้าสู่สถานีรถไฟโตเกียว


ไกด์เดินนำ ร้านน่าเข้าตลอดทางมากมาย โอดโอย ถ้ามาเองน่าจะได้แวะ 555 แต่เป็นสถานีที่ใหญ่มากกนะ แต่อันที่จริงก็ดูงงๆ ไม่แน่ใจว่าอยู่ในสถานีหรืออยู่ในห้าง

มื้อกลางวันนี้ไกด์พาเรามาเลือกทาน ราเมง เราก็เดินๆไป คนเยอะมาก กลัวไม่ทัน เห็นร้านนึงสีเขียว คนกำลังน้อยเลยรีบเข้าไปดู ต้องเลือกเมนูจากเครื่องหน้าร้านก่อน พอเลือกเสร็จก็จ่ายเงิน และก็เดินเข้าไปในร้านได้เลยถ้าไม่มีคิว พอพวกเราเข้าไปร้านก็เต็มพอดีเลย

จากการประมาณการกินของ เรา พ่อ แม่ และลูกแล้ว เลยสั่งมาแค่ 2 ชามกับเกี๊ยวซ่า 1 ชุด ก็อิ่มกำลังดีๆนะ แต่ขอบอกว่าหมูอร่อยมากกกก โอยน้ำลายไหล มันละลายในปาก แทบไม่ต้องเคี้ยว

หน้าตาราเมงที่ทาน อันนี้คือพ่อคนละ หมูเลยไปอยู่ล่างๆ คิดแล้วน้ำลายไหล

หมูแบบในรูปนี้ ฟิน

ทานอาหารเสร็จก็เดินทางไปศาลเจ้าต่อ ศาลเจ้าฟูชิมิ อินาริ


ศาลเจ้าฟูชิมิ อินาริ

เดินไปไกลมากจากที่จอดรถ ผ่านประมาณ 2 ทางรถไฟ ให้ความรู้สึกเหมือนการ์ตูนเรื่องนึงที่เคยอ่าน ระหว่างทางก็มีร้านค้ามากมาย ที่นี่เค้าทำบุญด้วยเสาสีส้มๆแหะ แปลกดี ไปถึงก็เดินดูนิดนึง คล้ายของที่แรกของวันนี้เลยเนอะ

แม่ไปเขย่ากระดิ่ง มันไม่ดังก็พยายามเขย่ามาก แอบขำเบาๆ

เสาส้มเรียงไปยาววววมาก ไม่ได้ถ่ายมาเพราะฝนตก เดินชมอะไรเล็กน้อย สองคนนี้ดูตั้งใจมาก

ขาเดินกลับ เราก็แวะซื้อขนมปลาใส้ถั่วแดงมากินกัน อุ่นๆอร่อยดี แต่ถ่ายรูปขนมดังโงะมาได้แทน 555 น่าทานแต่อิ่มๆอยู่ น่าจะเป็นแป้งก้อนๆ เลยไม่ได้ซื้อทานนะ

แม่ขอคนที่แต่งชุดกิโมโนถ่ายรูปด้วย (อันที่จริงก่อนไปขอถ่ายรูปเค้าแลดูหิวมาก ทานกันแบบเอร็จอร่อยเชียว ^_^)

1425289854465

ถึงเวลา เราก็นอนยาวๆในรถ เพื่อมุ่งสู่เมืองโอซาก้า


มาถึงชินไซบาชิ ก็เย็นเล็กน้อยแล้ว แหล่งช้อปแหล่งสุดท้าย ก่อนกลับกรุงเทพ อากาศหนาวมากเนื่องจากฝนตกและมีลม

พวกเราเข้าไปหาห้องน้ำกันที่ uniqlo ก่อนแล้วก็เดินชมเล็กน้อย แบบน่าซื้อมาก ราคาถูกและมีให้เลือกหลากหลาย

ไปร้านรองเท้าเลือกอยู่นานแต่ไม่ได้ เราได้กระเป๋าใส่เงินมาใบนึงเล็กๆสีส้มราคาก็แพงอยู่แต่ตอนนั้นความอยากเข้าครอบงำ โอเค ถึงตอนนี้ก็ยังไม่เสียใจที่ซื้อไป 555

หลังจากนั้นเราก็เดินไปเรื่อยๆ ไปๆมาๆแม่ได้กระเป๋า คนขายอายุเยอะแล้วผู้หญิง พูดได้แต่ญี่ปุ่น แต่พยายามทำท่าทางจนแม่ชอบกระเป๋าได้นะ และแม่จะไปขอ คืนภาษี เลยต้องไปอีกที่ และคนเยอะมาก เราเดินสำรวจห้าง 10 กว่าชั้นได้รอบนึงเลย

พอเสร็จพวกเราก็เริ่มหิว เลยออกตามหาอาหารตามสัญชาตญาณ ได้เป็นร้านอาหารจีนมั่ง เข้าไป ดูเมนูและก็ชี้ๆสั่ง อาหารมาถึง อร่อย ถ้าจำไม่ผิด สั่งผัดตับ หมูผัดเปรี้ยวหวาน ไก่เครื่องเทศ และก็ข้าวสวยร้อนๆสามถ้วย คือดีมากนะ มื้อนี้เราเลี้ยง จำไม่ได้แล้วเท่าไหร แต่ไม่แพงมาก ราคาพอๆกับอาหารญี่ปุ่นที่ไทย

นี่คือเมนู น่ากินหลายอย่างมาก แต่มี 3 คนเลยไม่สั่งเยอะ เดี๋ยวทานไม่หมด แถมหาคำว่าข้าวไม่เจออีก กว่าจะสื่อสารว่าเอาข้าวมา 3 ถ้วยได้นี่เหนื่อย 555

ไก่ในรูปดูน่าทานนะ แต่เราไม่ค่อยชอบ มันกลิ่นเครื่องเทศแรงไปนิด มีรูปธงเวียดนามด้วย สงสัยเป็นไก่ทอดแบบเวียดนาม

ทานข้าวเสร็จ แม่จะไปซื้อครีม เราก็เลยรอ และพอแม่ออกมาก็ใกล้เวลานัดและเหลือประมาณ 20 นาที แต่ยังไม่ถึง ใจเราอยากจะไปซื้อขนมของฝากที่ร้านนึง เลยรีบเดินไป แต่พอใกล้ๆเวลาละสัก 5 นาทีสุดท้าย ก็ตัดสินใจเดินกลับ วิ่งกลับมาหอบมาก และก็มาเลทเป็นคนสุดท้ายไปสัก 10 นาทีได้มั่ง แหะๆ

พวกเรานั่งรถเพื่อไปสนามบินกันแล้ว


ถึงสนามบินทุกคนก็หาที่นั่งเพื่อทำการจัดกระเป๋าใหม่ เนื่องจากแหล่งช้อบสุดท้ายบางคนก็หลวมตัวได้ของมาอีกเพียบเลย ครอบครัวเรามีสี่คน ก็ต้องมา balance กระเป๋ากันใหม่ และก็เอาที่ชั่งมาชั่งกัน

เสร็จก็ไปยืนรอ check-in เตรียมออกนอกประเทศละ

เข้าไปข้างในได้ พวกเราก็ซื้อขนมของฝากกันรอบสุดท้าย ก็หมดไปอีกหลาย ครบก็เตรียมขึ้นเครื่องกลับละ

Trip ไป ญี่ปุ่น – วันเดินทาง วันสี่ [วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2558]

หลังจากเมื่อคืนนอนร้อนเพราะนึกว่าฮีตเตอร์เป็นแอร์แล้ว เราก็ได้มองวิวออกไปนอกหน้าต่างห้อง เป็นภาพภูเขาไฟฟูจิ ที่มีทะเลสาบไหลผ่านหน้า คือดีมากกก ตื่นมามีบรรยากาศแบบนี้ คือฟิน และที่สำคัญ ฝนไม่ตก

เช้าวันนี้เราก็ทานอาหารโรงแรม

ระหว่างรอเวลาออกเดินทาง เราก็ไปถ่ายรูปกับภูเขาไฟฟูจิเล็กน้อย ขอบอกว่าหนาวมากกก มือนี่ชาเลย

ถึงเวลาพวกเราก็ออกเดินทางไปยัง ฟูจิเท็น สกีรีสอร์ท ครั้งแรกที่เราได้เจอหิมะของจริง ถึงจะไม่ได้เจอแบบตก แต่แค่นี้ก็พอใจละ


ฟูจิเท็น สกีรีสอร์ท

ระหว่างรอ คนมาเยอะมากตั้งแต่ยังไม่เปิด วันนี้เราใส่รองเท้าหนัง ไม่อยากใส่ผ้าใบกลัวเปียก เลยเกือบล้ม และล้มไปหลายทีเนื่องจากรองเท้าไม่มีดอกยางอะไรเลย เรียบมาก

แดดแรงจนแว่นเปลี่ยนสีได้ของเราเป็นสีดำสนิทอะ

สักพักไกด์ก็พาทั้งกลุ่มไปเล่นสเล็ด(คล้ายๆกระบะเลื่อน แต่อันนี้เป็นรูปมอเตอร์ไซด์) มีเวลาเล่นเต็มที่สองชั่วโมง เรามาเป็นกลุ่มแรก เล่นไปไม่รู้กี่สิบรอบจนเหนื่อย เลยมายืนถ่ายรูปคนอื่นๆเล่นแทน ที่ชอบคือมีคล้ายๆบันไดเลื่อนพาเราขึ้นไป  ไม่ต้องเดินเองสบายจุง

มีพี่คนนึงเกือบหลุดที่กั้นสูงๆ กระเด็นออกไป

หัวหน้าไกด์ของเราเล่นด้วยจนครั้งสุดท้าย และก็เจ็บตัวในรอบนั้น หลังเดาะเล็กๆ

พอพวกเราเหนื่อยแต่ยังเหลือเวลา เลยมาเล่นสงครามปาหิมะกัน สนุกดี โดนเด็กแกล้ง และก็ยืนดูพ่อแม่พาลูกมาเล่นกระบะเลื่อนเล็กๆ

เด็กบางคนมาเรียนสกี และพวกสเก็ตบอร์ด ก็น่ารักดี

ตอนเดินกลับล้มเบาไปรอบนึง รองเท้าลื่น แง

ระหว่างรอเดินทางก็หิวเล็กๆ แม่เลยซื้อไอติมมาให้ทาน การได้ทานไอติมเย็นๆ ท่ามกลางอากาศเย็นๆก็เป็นอะไรที่ดีนะ


หลังจากนั้นเราก็ไปทานข้าวกลางวันกัน เป็นอาหารเซ็ต เยอะมากเลย ปลาไหลอร่อยดี ทานไม่หมดอะ มีพนักงานพลัดกันมาดูแลเรื่อยๆ น่ารักดี ส่วนใหญ่อายุมาก และพูดอังกฤษไม่ได้ แต่พยายามบริการดีจริงๆ และที่นี้เราก็ได้ของฝากเป็นพยาปลาไหลกลับไปฝากเพื่อนๆ (อร่อยดีนะ แต่ไม่รู้สึกว่ามีรสปลาไหลตรงไหนเลยอะ 555)


พอทานกลางวันเสร็จก็ต่อด้วยสวนสตอร์เบอรรี่เลย

ไปถึงเค้าก็แจกถ้วยใส่ขั้วที่เหลือ กับ นมข้นที่เอาไว้จิ้มกับสตอร์เบอรรี่ และก็ปล่อยเราเข้าไปที่ปลูกของเค้า ทานไม่อั้นจ้า แต่นะตอนนั้นอิ่มพอควรละ ก็ชิมๆ หลายลูกอยู่น่าจะเป็น 10 และก็ค้นพบว่าลูกเล็กอร่อยกว่าลูกใหญ่ จำพันธ์ไม่ได้แล้ว หลังจากทานไม่ลงแล้วก็เดินเล่นถ่ายรูป สีสวยดี


หลังจากนั้นก็ออกเดินทางมายังซากาเอะ เพื่อหาข้าวเย็นทาน ไปๆมาๆไม่รู้จะทานอะไร เลยเดินเข้าไปน่าจะเป็นชั้นคล้าย Super บ้านเรา ของน่าทานทั้งนั้น ได้ไก่ทอด กับ เกี๊ยวซ่ามาทาน

ไก่ทอดอร่อยมาก คิดแล้วอยากทานอีก สียใจซื้อมาน้อยไป ส่วนเกี๊ยวซ่านี่ เค้าทั้งให้ชิม ทั้งแถม ทั้งลดราคากันเลยทีเดียวรสชาติปานกลาง

ถึงเวลาก็กลับโรงแรม และก็ชวนแม่ไปซื้อของนิดหน่อย เพราะยังไม่อิ่ม เลยได้ขนมกับน้ำผลไม้มาทาน ก่อนนอน

ถึงเวลาอาบน้ำ ตอนจะกดน้ำชักโครกหาไม่เจอ หานานมาก ที่จริงเป็นเพราะเอาเสื้อผ้าที่ถอด บังไม่อยู่ เซงตัวเองจริง 555

คืนนี้เนื่องจากเตรียมกลับแล้วเลยมีการชั่งน้ำหนัก กระเป๋ากันวุ่นวายเล็กๆเลยทีเดียว

Trip ไป ญี่ปุ่น – วันเดินทาง วันสาม [วันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2558]

เมื่อคืนนอนหลับสบายมาก ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหนื่อยหรืออะไร ^^

.

หลังจากเมื่อวานฝนตกทำให้การชมวัดเป็นไปอย่างลำบากเล็กน้อย เมื่อคืนเราก็ได้แอบภาวนาเล็กๆว่า วันนี้อากาศจะปลอดโปร่ง โล่งสบาย

.

ถึงเวลา 7 โมงตรงเดะ เราก็ลงมาทานอาหารเช้า เลือกทานอะไรที่มันง่ายๆ ทานข้าวสวยร้อนๆ กับปลาซาบะย่างซีอิ๊วอ่อนๆ และก็เอาเต้าหู้ ไปใส่ในซุปมิโสะ ทานกับของอื่นๆเล็กน้อย เป็นอันเสร็จพิธี อิ่ม

.

ระหว่างรอเดินทางต่อ แม่ก็ถ่ายรูปให้เราเล็กน้อย อิอิ แดดแรงดี

ขอบอกวันนี้อากาศดีมากกก 555 โชคดีจริงๆ

ที่แรกของวันนี้คือ ปราสาทโอดาวาระ


ปราสาทโอดาวาระ

ไปถึง พี่คนนึงเมารถพอดี เลยต้องรอกันเล็กน้อย เลยถ่ายรูปเล่นแวบ

ท่านพ่อ ท่านแม่

ถ่ายกะพ่อ

ทางเดินไปปราสาทไกลพอควร

บรรยากาศชิวๆ ลมเย็นๆ ดอกไม้สีสวยๆรายล้อม

กำลังจะเดินเข้าไปแล้ว

ปราสาทสวยงามมาก

เดินเข้าไปชมพิพิธพันธ์อย่างรวดเร็ว มีของพวกชุดเกราะ อุปกรณ์นินจา อาวุธต่างๆ รูปโชกุน อันนี้ยังดูไม่ค่อยเต็มอิ่มเท่าไหรนัก ไม่มีรูปเพราะเค้าห้ามถ่าย และก็เดินไปชมวิวบนชั้นสูงสุด มีที่ให้ปั้มตราเล่นด้วย.

ต่อมาเราก็จะไปชมซากุระแรกของญี่ปุ่นกัน ที่ เม้าท์มัตสึดะ


เม้าท์มัตสึดะ

ระหว่างทางเราก็เห็น ซากุระ และภูเขาไฟฟูจิ เป็นระยะๆ เรียกน้ำย่อย ตื่นเต้นๆ

ดูท้องฟ้าสีฟ้าที่ตัดกับดอกซากุระสีชมพูนั้นซิ สวยไหม กรี๊ดๆ

ก่อนที่พวกเราจะไปเดินชมซากุระให้เต็มตา ก็มีลุงคนนึงมากล่าวต้อนรับและอธิบายเล็กน้อย แปลโดยไกด์ของพวกเรา

หลังจากนี้เชิญ ชมความงามที่พวกเราพบเจอจ้า


พอพวกเราถ่ายรูปกันอย่างจุใจแล้ว ก็ได้เวลาอาหาร ชื่อร้านว่า FUJI MATSU View

ตามนั้นเลยคะ ไปถึง ลงจากรถ ฉากอลังมาก เห็นภูเขาไฟฟูจิ ที่ไม่มีเมฆมาบดบังเลย พวกเรารีบวิ่งไปถ่ายรูปกัน คือเป็นอะไรที่ สวยงามมาก ขนาดไกด์ยังบอกว่าไม่นึกว่าจะเห็นวิวสวยขนาดนี้

พอสมควรแก่เวลาพวกเราก็เข้าไปทานอาหาร เป็นบุฟเฟ่ห์ แต่ทางทัวร์ เพิ่มซูชิให้อีกคนละ 4 ชิ้น ให้ได้ลิ้มรส ซูชิกัน แต่ปกติไม่ชอบทานปลาดิบอยู่แล้วเลยเฉยๆ

พออิ่ม พวกเราก็กะจะมาถ่ายรูปอีกรอบ แต่เสียใจด้วย เมฆมาบังเรียบร้อย TT ไม่เป็นไร ก่อนทานเราก็ได้เห็นภาพสวยๆขนาดนั้นละ

พอสมควรแก่เวลา ไกด์ก็พาเราไปแหล่งช้อบปิ้งที่ใหญ่มากกก นั่นคือ โกเท็มบะ พรีเมี่ยม เอาท์เล็ท


โกเท็มบะ พรีเมี่ยม เอาท์เล็ท

ใหญ่มากก ที่ทางเข้ามีภาษาไทยต้อนเราคนไทยอยู่ด้วย

มี 2 ฝั่ง ตะวันตก และตะวันออก

ในนี้เราไม่ได้ช้อปอะไรมาก แค่เดินเล่นชมของก็เหนื่อยละ เดินทั่วนะ แต่ใช้เวลาไปประมาณ 2 ชั่วโมงในการเดินแบบลวกๆอะ 555 ใหญ่แค่ไหน ร้านที่แวะไปนานหน่อยเห็นจะเป็นร้านขายของเล่น พวก LEGO, กันดัม ร้านขายรองเท้าก็เข้าๆไปดูอยู่ Nike คู่ละประมาณ 1000 บาทอะถูกมากกก แม่ๆ นี่หมดเงินกันไปหลายอยู่ แต่ละคนถือกระเป๋ากันมาคนละ 4-5 ใบอย่างต่ำ ขาลาก

ร้านทั้งหมด

20150321_161856

เรากลับไปนั่งรถเมื่อถึงเวลา เพื่อเดินทางต่อ

ที่จริงได้แวะไปคล้ายๆเป็นตลาดนัดของชาวญี่ปุ่นด้วย มีของทานเล็กๆขายตามทาง ได้แวะดู เดินเข้าไปที่คล้ายๆโรงอาหารเค้าด้วย ก็มีที่หยอดเหรียญเพียบเลย

หลังจากนั้นเราก็เข้าที่พักแล้ว


พักที่ Tominoko Hotel Kawaguchiko

เนื่องจากพวกเรามาช้าหน่อย เลยได้รอบทานอาหารเป็นช่วงทุ่ม

ไกด์แนะนำให้ไปแช่ออนเซ็นก่อน แต่เรายังไม่อยากอาบน้ำก่อนทานข้าวเลยรอเวลา และก็เปลี่ยนใส่ชุด ยูกาตะ ต้องใส่ซ้ายทับขวา ไกด์สอนมา แต่กว่าจะพูดที่คาดเอวได้นี่ก็มึนๆ แต่ชุดนี้สวมทับลงไปเฉยๆนะยังไม่ได้แก้ผ้า555

อาหารเย็นของเราวันนี้เป็นบุฟเฟ่ปูยักษ์ และก็อื่นๆ เราก็ไปลองให้ครบทุกอย่าง มีชาบูด้วย แล้วก็ค่อยทานปู เนื่องจากแกะไม่ค่อยเป็น ตอนหลังแม่เลยแกะให้ อิอิ ปูนี่จะเย็นๆหน่อยเนื่องจากเค้าต้องการรักษาคุณค่าทางอาหารไว้ และไกด์ของพวกเราก็เอาน้ำจิ้มซีฟู้ดสุดเลิศมาให้ทานด้วย เข้ากันมากๆ มื้อนั้นก็อิ่มสุดๆไปเลย

หลังจากทานอาหารเย็นเรียบร้อย น้าที่นอนห้องเดียวกับเราก็ไปออนเซ็น ส่วนเรายังใจไม่กล้า แต่คิดไว้ว่าคืนนี้ต้องไป อิอิ

หลังจากน้ากลับมา เราก็พร้อมที่จะบุกเดี่ยวออนเซ็นละ อ่อ ตอนนั้นประมาณ 4 ทุ่มนะ


การแช่ออนเช็นครั้งแรกของฉัน บ่อแยกชาย หญิงนะ

ไปถึงก็ดูรูปถึงวิธีการ และก็แง้มๆประตูไปส่องก่อน พอเห็นไปมีใครก็เดินเข้าไป

ที่แรกเป็นที่แต่งตัว เราก็ค่อยๆถอดชิ้นส่วน พอกำลังจะถอดเสร็จ มี คนเดินออกมาพอดี ก็ถอดต่อไป ทำเป็นไม่สนใจ 555 โอยอายยจริง พอคนนั้นเหมือนมาเอาของแล้วก็กลับเข้าไปใหม่ เราก็เอาผ้าผืนเล็กที่เตรียมมาปิดส่วนด้านหน้าไว้ (ไม่ได้ปิดหน้านะ กลัวลื่นล้ม 555)

พอใจกล้าแล้วก็เข้าไป ห้องแช่ พอเข้าไปก็โล่งใจเล็กน้อยคือ ในนั้นจะมีควันเยอะมากก มัวๆดี เข้าปุป เราก็ นั่งเลยตรงที่ให้อาบน้ำ (อันที่จริงควรเดินเข้าไปในๆแล้วอาบจะดีกว่าถ้าขี้อาย แต่ตอนนั้นสติยังไม่ค่อยอยู่กะตัว 55) พออาบน้ำเสร็จ ตอนนั้นรู้สึกจะมีแค่คู่แม่กับลูกเด็กๆอยู่ กำลังขึ้นมาอาบน้ำเตรียมกลับพอดี เราก็เลยเอาขาไปเตะๆน้ำก่อน ร้อนมาก (แม่บอกไว้ว่าให้กวักๆน้ำมาโดนตัวจนปรับตัวได้ระยะนึงค่อยแช่) สักพักเราก็ลงไปแช่ ไปๆมาๆอยู่คนเดียวเลยจ้า สบายใจ 555 ก็เล่นน้ำไปแวบนึง เห็นน้าที่มาก่อนบอกว่ามี outdoor ด้วยเลยออกไปดู มีคนอยู่สองคนจ้า แถมไม่มีควัน เรายังใจไม่กล้าพอเลยกลับมานั่งแช่ indoor ต่อ สักพักแช่จนพอใจ ก็อาบน้ำอีกรอบ และก็เดินมาใส่ชุดคลุมเพื่อกลับ กำลังจะสวมชุด มีคนอีกสองคนเข้ามาพอดีในห้องแต่งตัว เราก็แอบสะดุ้งเล็กน้อย และก็รีบๆสวมชุดและเดินออกมา ลงลิฟท์ ดันมีคนลงมาด้วยและชวนคุยอีกตังหาก เราก็พูดไปว่าพูดจีนไม่ได้ ญี่ปุ่นไม่ได้ ด้วยภาษาอังกฤษนะ และพอถึงชั้นตัวเองก็รีบเดินออกมา เหอะๆ ถึงห้องเรียบร้อย เปลี่ยนชุด เตรียมนอน

นอนวันนั้นเปิดแอร์เพื่อให้อากาศอุ่นๆ แต่ตอนกลางคืนร้อนมาก คอแห้ง ถึงกับต้องมาทานน้ำ เลยไปเร่งเป็นเบอร์แรงสุด และนอนต่อ ตื่นเช้ามา น้าที่ห้องขอไปแช่ออนเซ็นอีกรอบ ส่วนเราก็ไปอาบน้ำ พออาบเสร็จก็เอาผ้าเช็ดตัวมาเช็ดหน้า ก็สงสัยเล็กๆว่าทำไมผ้ามันกรอบๆ แต่ยังไม่คิดอะไรมาก พอน้ากลับห้องมา ก็มาคุยกับเราบอกว่าแอร์ที่เราเปิดสงสัยจะเป็นฮีทเตอร์ เครื่องทำความร้อนแน่เลย เราก็ฮากัน ก็ว่าอยู่ทำไมร้อน และผ้าเช็ดตัวนี่กรอบเลย น้าบอกน้านอนตรงแถวๆที่ลมปล่อยด้วยร้อนมาก ก็เป็นเรื่องฮาๆประจำวันไป

Trip ไป ญี่ปุ่น – วันเดินทาง วันสอง [วันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2558]

และแล้วเราก็เดินทางถึง Japan ลงที่สนามบิน นาริตะ ถึงก่อนเวลาเล็กน้อย

.

มองไปนอกหน้าต่าง ฝนตกจ้า … แต่ดีที่ตกปรอยๆ ไม่เป็นไร เราได้มาถึงแล้ว อะไรจะเป็นอุปสรรคค่อยว่ากันไปเนอะ

.

เดินออกนอกเครื่องบิน ผ่านทางเดิน สัมผัสอากาศที่ญี่ปุ่นเป็นหนแรก หนาวยะเยือกเลยจ้า เริ่มตื่นเต้นๆ

.

เนื่องจากเรามากะทัวร์เลยมีไกด์คอยนำทาง

.

เราก็เดินตามไปได้สักพัก ข้าศึกบุกจ้า ถึงเมืองพอดี รีบบอกกล่าวพ่อแม่พี่น้องว่า ไม่ไหวแล้ววว รีบบึ่งตรงไปยังห้องน้ำ และก็…อ่าห์ สบาย เจิ่มห้องน้ำสนามบินที่ญี่ปุ่นเรียบร้อย กริกริ

.

แม่รออยู่พอดี เราก็รีบเดินตามไปสมทบที่ด่านตรวจคนเข้าเมือง คนเยอะมาก มีป้ายบอกเวลาว่าถึงจุดนี้รออีกกี่นาที เหมือนไปเที่ยวสวนสนุกเลย และเจ้าหน้าที่บางคนพูดไทยได้ โอวแม่เจ้า คนไทยไปเที่ยวเยอะจริง 555

.

ผ่านด่านมาแบบฉลุยๆ และก็ไปรอกันในสนามบิน รอรถมารับ ระหว่างรอ ก็ถือโอกาสซื้อของกินเล็กน้อยที่ร้านในสนามบิน ยืนเลือกกับแม่อยู่นาน สงสัยอันนึงคือ มันมีรูปหมาแปะอยู่ที่ซองขนมปัง(ยังคงสงสัยว่ามันคืออะไรหว่า คนทานได้ไหม เอียงคอ…)

.

รถบัสมาถึง พวกเราก็เดินออกไปขึ้นรถกัน เพื่อเดินทางไปยังที่เที่ยวแรก “วัดนาริตะซัน”


วัดนาริตะซัน

.

ไปถึงฝนตกปรอยๆ แต่พวกเราก็ไม่ได้ถือร่ม แค่ เอาหมวกมาคลุมๆ แล้วรีบเดินไป หยุดดูหน้าทางเข้าของวัดเล็กน้อย

เดินเข้าไปต่อ บรรยากาศเย็นๆถึงหนาว ฝนปรอยๆ

สิ่งที่ต้องทำเมื่อไปถึงวัดคือ การล้างมือ เย็นยะเยือกสะใจเลย

ถ่ายรูปกับ โคมแดง (เหมือนเห็นทุกวัดเลยแหะ) อันใหญ่มาก

ระหว่างรอคนถ่ายรูปกะโคมแดง เราก็แอบเห็น รูปปั้น น่าจะเป็นพระ เลยเข้าไปถ่ายรูปเล็กน้อย

ท่านแม่มุ่งตรงไปยังกระดิ่ง

เดินไปอีกนิด จะเจอบ่อเต่า และ บ่อกบ

บ่อเต่า มีความเชื่อว่าเต่าเป็นสัญลักษณ์ของการมีอายุยืน

บ่อกบ ดูไม่ค่อยเป็นกบเลยเนอะ

เดินขึ้นไปอีกนิด จะเจอกระถางธูป อันนี้ไม่ได้เป็นธูปก้านๆ แต่เป็นธูปป่นๆ เอามือไปกำมาโปรยใส่กระถาง แล้วกวักควันเข้าตัว จะนำสิ่งดีๆ สู่ชีวิต

เจดีย์สามชั้น

เดินต่อ บรรยากาศดีมากก

ถ่ายรองเท้าเทพเจ้ามาด้วย

ก่อนกลับเอามือไปสัมผัสโคมแดงเล็กน้อยเพื่อความรุ่งเรือง

เดินจากมาพร้อมความสบายใจ


แวะทานอาหารกลางวัน เป็นปิ้งย่าง เลือกกันมันส์ พอใกล้ๆอิ่ม ทัวร์อื่นๆลง เลยไปเดินเล่นดีกว่า ก่อนถึงเวลานัดกับไกด์

ได้เดินไปดูที่ขายของ รองเท้าถูกมาก คิดแคทก็ถูกเช่นกัน แต่ยังไม่ได้ซื้ออะไร

แม่เห็นสตอร์เบอรรี่ขายอยู่ปุป ซื้อปับ ลูกเลยได้อานิสงค์ทานด้วย ^3^


ต่อมาก็ไป “วัดอาซากุซ่า”


วัดอาซากุซ่า

ใหญ่กว่าที่แรกที่ไป และฝนยังคงตกหนักพอควร ต้องถือร่มกันแล้ว ไปถึงก็เข้าห้องน้ำ และก็พลัดหลงกะแม่ TT

เลยเดินเอง ถ่ายโน้นนี้ เดินไปเรื่อยๆ และ เรื่อยๆ 555 ไม่เจอคนในกรุ๊ปเลย ไรเนี่ย

คนที่วัดนี้เยอะจริงๆ

เจอหมาน่ารักๆด้วย

คิดได้ว่าไกด์แนะนำว่าขนมเมล่อนปังอร่อย แต่คนต่อแถวจะเยอะมาก เราเลยเฉยๆ แต่ดันไปเจอร้านนี้ตอนไม่มีคนพอดี เลยสั่ง และก็ลองชิมดู ก็ไม่เลว กรอบนอก นุ่มใน อร่อยดี โชคด้านอาหารสูง สักพักพอเราซื้อเสร็จหันกลับมาดู คนต่อแถวยาวเลย


ไปเดินชินจูกุต่อ ปล่อยแม่ๆไปช้อป และเราก็พาพ่อมาเดินดูของเล่นที่ห้าง Bic camera (ไม่ได้สะกดคำว่า Bic ผิดนะมันเป็นงี้จริงๆ) ของเล่นสมัยนี้แบบน่าเล่นและสร้างสรรค์สุดๆ แอบอยากได้หลายอย่างแต่ก็แพงอะ เมืองไทยก็มีเลยไม่ได้สอยมา พอใกล้ถึงเวลานัดก็เดิน ฝ่าลมฝนและลมหนาวมาที่ร้านอาหารที่นัดกันไว้

และเย็นทานชาบู อร่อย คือหนาวๆมา แล้วทานร้อนๆใช่เลย ไกด์เอาน้ำจิ้มสุกี้ จากเมืองไทยมาด้วย ทานกับข้าวสวยร้อนๆ คิดแล้วน้ำลายไหล วันนั้นทานไปเยอะมากจริงๆ

Trip ไป ญี่ปุ่น – วันเดินทาง วันแรก [วันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2558]

อาบน้ำให้ตัวหอมฉุยเรียบร้อยก็ออกจากบ้านประมาณ 6 โมงเย็น เพื่อไปสนามบินดอนเมืองให้ทัน 3 ทุ่ม

.

น้องนั่ง Taxi ไปกับแม่

เรานั่งไปกับพ่อ

ที่ต้องนั่งแยกคันเพราะกระเป๋าแต่ละคนใหญ่มาก อัดกันไป 4 คนไม่ไหว

.

รถติดมากกก

.

ไปถึงพอดีๆ รอคนโน้น คนนั้น คนนี้

.

ทริปนี้ไปกัน 20 คน กับไกด์อีก 2 คน (พี่อ๊อย กับ พี่ดู๋ ชื่อเรียกยากทั้งคู่เลยเนอะ)

มี 3 ครอบครัว, 2 คู่รัก, คนมีครอบครัวที่มาเดี่ยวๆ 1 และคนโสดอีก 1

เรารู้จักไม่ครบทุกคน แต่ก็เป็นโอกาศอันดีในการสร้างมิตรภาพใหม่ๆ

.

ได้เวลา ทางบริษัททัวร์ ก็แจกเอกสารจำเป็นในการเดินทาง และพวกเราก็ทำการ Check-in เพื่อเดินทางไปสู่ Japannn

.

ถ่ายรูปกับครอบครัวเล็กน้อย ^___^

1

.

ออกเดินทางด้วยสายการบิน Air Asia X

ขึ้นเครื่องเรียบร้อย อยู่ๆก็มีเสียงเด็กร้อง #ร้องไห้หนักมาก และก็อ้วก กลิ่นตลบอบอวนมาก แอร์รีบมากันและก็จัดการ Clear อ้วก และ กลิ่นไป โชคดีนั่งห่างมาหน่อยเลยได้กลิ่นบางๆ แอบสงสารคนที่นั่งใกล้ๆ ทำท่าเหมือนจะอ้วกตามหลายทีอยู่ แอบเห็น

ตอนแรกครอบครัวนั้นหลังจากไปจัดการอะไรๆที่ห้องน้ำเรียบร้อย ก็กลับมานั่งที่ เด็กก็ยังคงร้องไม่หยุด จนแอร์ต้องให้ย้ายที่ เลยหยุดไปได้

.

ประทับใจแอร์ ทุกคนเต็มที่มาก

.

หลังจากนั้นเราก็นอนอย่างสบายใจ อากาศหนาวมาก เสื้อที่เตรียมมาเกือบไม่พอ

.

อาหารถูกเสริฟประมาณตี 1 ก็ทานได้นะ ถึงจะดูผิดเวลาไปหน่อย เราทานเป็นกระเพราคลุก+ไข่เจียว รสชาติไม่เลว

.

กินเสร็จก็ต้อง นอน สิ ถูกต้องไหม 555 หลับยาว แต่ก็โดนรบกวนเป็นระยะๆ

.

จบวันแรก แล้ว ห๊ะ… 555 ยังไม่ได้เที่ยวเลยเดินทางอย่างเดียว

Trip ไป ญี่ปุ่น – 6 วัน 3 คืน ประสบการณ์ดีๆที่ยากจะลืมเลือน

ไปญี่ปุ่นครั้งแรก พร้อมหน้าครอบครัว ไปกับทัวร์ลองเชิงก่อน หมดไปเนาะๆ 43000 บาท ค่าของฝากอีกเล็กน้อยประมาณ 5000 บาท ก็คุ้มนะ

เจอครบทุกฤดู ฝน ร้อน หนาว หิมะ ใบไม้ผลิ (ซากุระจ้า งามเลิศ ฟูจิสวยยย)

ประทับใจ ไปอีกแน่ๆ 555

ติดตามเรื่องราวแต่ละวันได้ที่ Link ตามวันต่างๆเลยจ้า


วันที่ 1 (ดูเหมือนไม่มีอะไรใช่ไหม ก็ไม่รู้ว่าเอาอะไรมาเขียนเยอะแยะได้ไงเหมือนกัน แค่ออกจากบ้านมาสนามบินและไปญี่ปุ่นเนี่ย 555)

บ้าน -> กรุงเทพ [สนามบินดอนเมือง] -> นะริตะ [สนามบินนาริตะ]

Link -> วันที่ 1


วันที่ 2 (เริ่มต้นด้วยฝนเลยจ้า)

นะริตะ [วัดนะริตะซัน] -> โตเกียว [วัดอาซากุซ่า > ชินจูกุ > ที่พัก New city Hotel Shinjuku] (อาหาร บุฟเฟ่ต์ยากินิคุ และ บุฟเฟ่ต์ชาบู ชาบู)

Link -> วันที่ 2


วันที่ 3 (ฝนไปแล้ว แดดมา ไปชมซาุระ อากาศดีฝุดๆ ที่สำคัญ ได้ชมภูเขาไฟฟูจิแบบไม่มีอะไรมาบัง เลิศ)

คะนะงะวะ [ปราสาทโอดาวาระ] -> มัตสึดะ [เม้าท์มัตสึดะ (ชมซากุระแรก) > โกเท็มบะ พรีเมี่ยม เอาท์เล็ท > ที่พัก Tominoko Hotel Kawaguchiko(แช่ Onsen)] (อาหารเซ็ตอาหารท้องถิ่น และ บุฟเฟ่ต์ขาปูยักษ์)

Link -> วันที่ 3


วันที่ 4 (เปิดวันด้วยการเล่นสเล็ดกับหิมะจริงๆ อิ่มจุกกับสตอร์เบอรรี่)

ยามานาชิ [ฟูจิเท็น สกีรีสอร์ท > สวนสตอร์เบอรรี่] นาโกย่า [ช้อปปิ้งซากาเอะ > ที่พัก Komaki Grantia Hotel]
(อาหาร เซ็ตอาหารญี่ปุ่น เย็นหาทานเองได้ไก่ทอดกะเกี๊ยวซ่ามาทาน)

Link -> วันที่ 4


วันที่ 5 (ไปศาล เค้ากำลังทำพิธีบางอย่างพอดี ไปเยือนสถานีรถไฟเกียวโต ใหญ่มากกกก ทานราเมงเจ้าดัง แพร่บๆ และเดินช้อปให้ขาหลุดก่อนกลับ)

เกียวโต [ศาลเจ้าxxx (เปลี่ยนที่จากตอนแรกเลยจำไม่ได้ 555) > สถานีรถไฟเกียวโต > ศูนย์รวมราเมง > ศาลเจ้าฟูชิมิ อินาริ] -> โอซาก้า [ชินไซบาชิ] -> คันไซ [สนามบินคันไซ]
(อาหารหาทานเอง กลางวันได้ราเมง เย็นเป็นร้านอาหารจีนในตรอกซอย)

Link -> วันที่ 5


วันที่ 6 (กลับบ้าน มีเรื่องฮาๆของแอร์มาเล่นให้ฟัง)

คันไซ [สนามบินคันไซ] > กรุงเทพ [สนามบินดอนเมือง]

Link -> วันที่ 6

Trip ไป กาญจน (นะ จะ) บุรี – วันเดินทาง วันสอง [วันที่ 21 ธันวาคม 2557]

เนื่องจากเมื่อคืนหนาวมาก เลยตื่นได้เร็ว มีพี่บางคนลุกขึ้นมาจัดการตัวเองเรียบร้อย เราลุกเป็นคนสุดท้าย 555 แต่ก็ตื่นกันค่อนข้างเช้า ประมาณ 6 โมงนิดๆกัน และที่นี้ก็มีไก่ ที่ขันได้ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นเวลาไหนด้วย ดังนั้นควรทำใจ รับมือนิดนึง

พอตื่นก็ไปอาบน้ำ ตอนแรกกะไม่อาบเพราะหนาวมาก แต่มีน้ำอุ่น เลยอาบให้ร่างกายอุ่นๆขึ้นหน่อย สดชื่นมากๆอะ

อาบน้ำเสร็จก็จัดกระเป๋าเล็กน้อย แล้วก็ไปทานข้าวเช้า

Untitled

(รูปนี้พี่โจ้ ถ่ายไว้ ส่วนเราก็มัวแต่ทานอีกเช่นเคย 555)

ปกติเป็นคนไม่ชอบทานข้าวต้ม แต่วันนั้นอากาศเย็นๆ การได้ทานข้าวต้มอุ่นๆกับกับข้าวนี่สุดยอดเลย ส่วนตัวคิดว่าผัดถั่วงอกกับเต้าหู้ อร่อยสุด แต่ก็อร่อยทุกอย่างนะ นอกเหนือจากนี้ก็มีขนมปัง แยมรสต่างๆ และปาท่องโก้ ไว้ให้เลือกสรร วันนั้นเบิ้ลข้าวต้มไป 2

ที่รีสอร์ท มีน้ำฝางมาให้ชิมด้วย (เค้าบอกว่าเป็นน้ำที่เกิดจากการต้มเปลือกไม้ มีรสหวานๆอร่อยดี มีฤทธิ์ในการบำรุงต่างๆ จำไม่ได้ 55)

ระหว่างทาน คนก็ทยอยๆกันมาทานเรื่อยๆ กินน้อย กินมากคละกันไป แต่โดยรวมทานเยอะแหะ อิอิ


เดินเล่นแวบนึงก็ได้เวลา ล่องเรือ เที่ยว “วัดพุกุ้ง” ไปกันประมาณ 9 โมง

2_2(วิวระหว่างทาง สวยๆ)

นั่งเรือไปไม่นานประมาณ 5-10 นาที ก็ลงไปเดินขึ้นเขา และไปตามทาง น่าจะประมาณ 1 กิโลได้นะ ตอนแรกนึกว่าเดินผ่านทางที่พวกเรานั่งรถผ่านมา แต่คงไม่ใช่

2_3

บรรยากาศเหมือนเดินป่า เย็นๆชิวๆ ลมเอื่อยๆ คิดแล้วจะหลับ คร่อกก


ทางขึ้นวัดมี พญานาค อยู่ด้วย

2_4

ขึ้นไปก็หอบเล็กๆอีกตามเคย ข้างบนก็มีพระ พวกเราก็ทำบุญ ไหว้พระกันไป ก่อนเดินไปในถ้ำต่อ


2_5

ภายในถ้ำก็เป็นประมาณนี้ (ดูคู่รักสิ จับมือกันเดินไปด้วย แอบอิจฉาเล็กๆ อิอิ)

2_6

มีพระสีขาวองค์นึง งดงามมากๆ พวกเราก็ไหว้พระกันไป จนเจออะไรสะดุดตา เป็นช่องแคบเล็กๆ

2_7

ช่องนี้เอาไว้แบ่งแยกคนอ้วนกับคนผอม ถ้าคนผอมจะสามารถผ่านช่องนี้มาได้ (เราก็ผ่าน อิอิ)

พอไหว้พระ ถ่ายรูปอะไรกันจนพอใจ พวกเราก็เดินกลับ


2_8

ระหว่างรอเรืออีกรอบ ก็เลยถ่ายรูปวิวมาให้ชม งามๆนะ

2_9

นั่งเรือกลับกัน รอบนี้เค้าก็พาไปชิวๆวนไกลหน่อยก่อนกลับ ก็รับลมเย็นๆดี เริ่ดๆ


พอถึงที่รีสอร์ท ก็สลบอีกรอบ และก็ตื่นเที่ยงมาเพื่อทานข้าวเลย

มื้อกลางวันนี้เป็น ขนมจีน น้ำยา แกงไก่ และไข่เจียว อร่อยนะ โดยเฉพาะไข่เจียว ทานเข้าไปคำแรกประทับใจ พวกเราเบิ้ลไข่ไปหลายจานเลยทีเดียว

ทานอาหารกันเสร็จประมาณบ่ายโมงนิดๆ พวกเราก็เดินทางสู่กรุงเทพ….


ก่อนถึงกรุงเทพพวกเราก็แวะไปจุด Hi-light ของเมืองกาญจ์ นั่นคือ “สะพานข้ามแม่น้ำแคว”

เนื่องจากเคยมาแล้วรอบนึงและแดดร้อนมาก เลยไม่ได้ไปถ่ายรูปกะเค้า  ถ่ายแต่สะพานไกลๆ

2_10

สักพักก็ได้เพื่อนร่วมอุดมการณ์ เดินไปยังพิพิธพันธ์แถวๆนั้น


ไปกันสามคนที่ “ART GALLERY & WAR MUSEUM”

ค่าเข้าเบาๆคนละ 40 บาท เดินเข้าไปก็เห็นเขาควายเด่นสะดุดตาเป็นอย่างแรก

2_11

ก็คุยกันว่าทำไมควายเขามันแปลกๆกันดี แล้วก็เดินไปชมรถโบราณ ก่อนเข้าไปยังอาคารจัดแสดง เข้าไปข้างในก็ได้บรรยากาศขนลุกมากๆ มีปืน มีโครงกระดูก รูปภาพเก่าๆมากมายสมัยสงคราม ที่สำคัญมีโลงศพตั้งอยู่ด้วย แต่ไม่แน่ใจว่ามีศพข้างในไหม แลดูเป็นของจริงมากๆ

2_16

ชั้นสองของอาคารนี้เป็นเกี่ยวกับนางสาวไทย สมัยแม่พวกเรายังเด็กๆนะ

2_12

มีพวกชุดสมัยโบราณ เครื่องประดับ และอัญมณี

พวกเราที่เดินกันไปสามคนมีราศีต่อกันเลยคือ กรกฏ กันย์ และตุลย์ ก็ดูข้อมูลเกี่ยวกับอัญมณีที่เหมาะสำหรับแต่ละราศี


หลังจากนั้นก็ออกมาและพบกับโมเดลทางรถไฟสายมรณะ ที่ได้ชื่อนี่มาก็สมควร เพราะคนตายไปจากการก่อสร้างสิ่งนี้ไปมากกว่าแสนคน แลดูหดหู่เนอะ

2_13

ภายในที่แห่งนี้ มีหลายข้อความพยายามกล่าวว่า ไม่มีใครได้ประโยชน์จากสงคราม สงครามนำแต่ความสูญเสียมาให้


หลังจากผ่านโมเดลมาพวกเราก็เห็นระฆังยักษ์

2_14

ว่ากันว่าระฆังทรงนี้ ใหญ่ที่สุดในโลกเลยแหละ แต่ไม่ได้เข้าไปดูเพราะกำลังโดนโทรตามอยู่


อาคารหลักยังไม่ได้เข้าไปก็ต้องกลับเสียก่อน เลยถ่ายรูปวีรสตรีของไทยเป็นที่ระลึก ก่อนการจากมา

2_15

ภาพทางเข้าไปยังอาคารที่พวกเรายังไม่ทันเข้าไป เสียดายมากๆ

2_17


หลังจากพวกเราหนีมาเที่ยวกันสามคนเรียบร้อย พวกเราก็นั่งรถตู้ มุ่งหน้ากลับกรุงเทพ

ระหว่างทางก็แวะซื้อของฝากเล็กน้อย หมดกันไปคนละเบาๆ (มั่ง)

ถึงกรุงเทพกันประมาณ น่าจะหกโมง ก็แยกย้ายกันเดินทางกลับสู่บ้านโดยสวัสดิภาพ

จบ…. Happy ending Trip

Trip ไป กาญจน (นะ จะ) บุรี – วันเดินทาง วันแรก [วันที่ 20 ธันวาคม 2557]

ทริปใหญ่ส่งท้ายปี 2557 (มีความสุขมาก) ช่วงที่ไปนี้เรียกได้ว่าเป็นช่วงหน้าหนาวของเมืองไทยนะ

ทริปคราวนี้ไปกับทีม Support ที่เคยไปทำงานด้วย อยู่ระยะเวลานึง (ทีม LE01+LE02) ตอนทำอยู่เห็นน้องเค้าจะจัดทริปพอดี เลยบอกไว้ว่า ถ้าจัดอย่าลืมเค้านะ 555 และน้องก็จัดให้ ไปกัน 25 คนแหนะ

น้องผู้ที่ทำให้ทริปนี้สำเร็จขึ้นมาได้ ต้องยกความดีความชอบให้กับน้องก้อย และน้องก้ามปู ของทีม LE01 จัดได้ดีมากจะ

พวกเรานัดกันที่ตึกที่ทำงานหลัก นั้นคือตึก Tipco นั้นเอง ออกไปกาญ ราวๆ 8.30 น.

บางคนเห็นนัทใส่ขาสั้นเป็นครั้งแรก นัทเดินมาไม่มองหน้าอะ มองขา 555 ฮาาา พี่เค้าบอกขาขาวมากก

ค่าใช้จ่ายทริปนี้ 2000 นิดๆ (ค่ารถ ค่าอาหาร ค่าโน้นค่านี่ รวมทุกอย่างแล้ว)


ที่หมายแรก “วัดถ้ำเสือ”

1_1

นั่งรถตู้ไปกัน 2 คัน แล้วมีคนขับรถไปเองอีก 2 คัน ไปถึงที่หมาย รถตู้ก็จอดให้ พวกเราก็รีบเดินกันไปหลบแดดก่อนเลย

เดินไปถึงที่ จะเห็นบันไดยาวมาก พวกเราก็ถ่ายรูปก่อนขึ้นกันแวบนึง แล้วก็กึ่งเดิน กึ่งวิ่งขึ้นไป จะหยุดก็ไม่ได้ คนตามมาเรื่อยๆ ขึ้นไปถึงก็ขาสั่น ล้มตัวลงนั่งเลยทีเดียว 555 (พอขึ้นไปถึงข้างบน พึ่งเห็นว่ามีกระเช้าสำหรับขึ้นไปข้างบนได้โดยไม่ต้องเดิน ใครที่คิดว่าเดินไม่ไหว หรือผู้อาวุโส ก็ขอเชิญขึ้นทางนี้นะคะ อิอิ) ขึ้นมาถึงข้างบน ลมก็กำลังเย็นๆ แต่พอออกแดดเท่านั้นแหละ ตัวเกรียมเลยทีเดียว พวกเราก็ไหว้พระ ทำบุญ ถ่ายรูปอะไรกันไป สักพักก็เดินลงไปถ้ำเสือ

1_2

เดินตามพี่ๆลงไป มั่วทางกันเองนะ ปากทางเข้าก็จะมีเสือมารอรับอยู่ หุหุ

1_3

ในถ้ำก็ไม่มีอะไรมากแต่ก็สงบดี อ่อ มีรูปปั้นที่ดูหลอนๆอยู่นิดหน่อยด้วย บรื้อๆๆๆ ขนลุกเลย

1_4

หลังจากพอใจ พวกเราก็ออกมาถ่ายรุปต่อกันนิดหน่อยจนพอใจ แล้วก็ใกล้เที่ยงแล้ว จึงเดินทางสู่ที่หมายต่อไป ร้านอาหาร


ร้าน “ครัวเอราวัน”

ไปถึงร้านเค้ายังไม่ได้ทำอาหารไว้ให้พวกเรา เนื่องจากติดต่อคนที่จองกลับมาไม่ได้ ก็ไม่เป็นไร รอกันไป

รอนิดหน่อยทางร้านก็ทยอยเสริฟอาหารออกมา พวกเราไม่พูดพร่าทำเพลง ก็ทานกันสนุกสนาน โดยรวมถือว่าพอใช้ในรสชาติ ส่วนการบริการถือว่าดี เอาใจใส่ดี ที่ไม่มีรูปเพราะหิวมาก ปลาออกจะแข็งไปหน่อย แต่เกลี้ยงทุกอย่าง

ส่วนขนมทางร้านบอกว่ามีน้ำแข็งไส พวกเราเลยสั่งมาทานกัน

รอนานมากกกกกก แนะนำว่าอย่าสั่งทาน ร้านเค้าเหมือนไปซื้อมาจากอีกร้าน แล้วเอามาขายต่อ ไม่อร่อยด้วย แถมแพงด้วย พลาดกันไป

กว่าจะออกจากร้านกันได้ก็ประมาณบ่ายสามนิดๆ เดินทางไปที่พัก


ที่ๆพวกเราไปพักคือ “ภูไพรเลค รีสอร์ท” (ชมทะเลสาบเขื่อนศรีนครินทร์)

เดินทางจากร้านอาหารมาไม่ถึง ชั่วโมง ทางเข้ากันดารเล็กน้อย ดินแดง ลูกรัง ใครรักรถก็ลองหาวิธีอื่นๆไปดู 555

พอเข้าสู่อณาเขตของรีสอร์ท เหมือนอยู่คนละโลก ถนนเป็นถนน พวกเราเดินทางไปรอที่พักกันข้างหน้า ระหว่างรอก็ดูอีกคณะเล่นเกมกันไป

พอได้ที่พัก พวกเราก็รีบเปลี่ยนชุด เพื่อเตรียมเล่นแพเปียก ก็นั่งเล่นคุยรอกันไปพักนึงกว่าจะเตรียมการอะไรเรียบร้อย

Kan_122014_37

(รูปที่พี่เค้าถ่ายไว้ก่อนพวกเราจะเปียก)

พอเค้าต่อแพอะไรเรียบร้อย ก็ค่อยๆทยอยกันขึ้นแพ พอนัทก้าวลงไปเท่านั้นแหละ แพ ล่มจ้า ฮาาามาก เหมือนเราตัวหนักมากอะ แต่แท้จริงแล้ววิธีที่ถูกต้องคือลงทีละคนแล้วนั่ง แต่พวกเราลงแล้วไปยืน พอเราลงปุป ล่มเลยจ้า ฮากันไป

Untitled

(รูปจังหวะแพ ล่มรอบแรก 555)

หลังจากนั้นพวกเราก็ทยอยขึ้นกันจนครบ มีบางคนไม่เล่นก็เลยไป 20 นิดๆ สองแพ

Untitled

เรานั่งหลังสุด ไกลๆโน้น ก็เป็นกิจกรรมที่เสริมสร้างความสามัคคีได้อย่างดี แพจะล่มตลอดเวลา ต้องคอยเอียงซ้ายที ขวาที มีอยู่จังหวะนึง แพกระฉากไปแรงมาก เรานี่ตัวปลิวออกนอกแพไปแล้ว เหลือแขนแกาะอยู่ข้างเดียว ดีที่ได้พี่ที่นั่งข้างหน้ามาฉุดมือขวาเข้าแพไปให้ หลังจากนั่นก็เกาะแหลกจ้า บางช่วงขับเรือช้าๆก็ชิวไป บางทีขับเร็ว มีจังหวะนึง เราลอยแบบ Superman เลย คือ แกาะด้วยแขน 2 ข้าง ขาลอยไปข้างหลังเรือ ก็หนุกดีนะ 5555 แต่ก็มีสิทธิ์พลาด ปลิวไปโดยไม่มีใครรู้ได้เช่นกัน

คนขับเรือก็พาแพพวกเราวนไปพอควรก่อนพากลับ พอถึงฝั่ง ก็มีน้องคนนึงได้รับบาดเจ็บที่นิ้วเท้า เนื่องจากแพบาด เลือดออก ก็ตื่นเต้นกันไป ช่วยกันปฐมพยาบาลเป็นห่วงๆ แต่ก่อนหน้านั่น พวกเราต้องหาทางเอาตัวขึ้นมาจากน้ำให้ได้ ก็ทุลักทุเลพอควรเลย มีบางคนว่ายน้ำไม่เป็น ก็ต้องช่วยพาเข้าฝั่งกันไป สนุกสนาน

พอน้องที่บาดเจ็บแลดูหายดี พวกเราก็รู้สึกยังไม่พอ เราเลยไปเช่าไม้พายมา คู่ละ 500 ถ้าเอาพายไปคืนก็ได้เงินคืนนะ

ก็ไปพายกับพี่อีกคน รู้สึกว่าการพายเรือ มันใช่ (การพายเรือครั้งนี้เป็นครั้งที่สองในชีวิต แต่เหมือนพายเป็นมาตั้งแต่เกิดอะ 5555)

Page27

(ในรูป ไม่ได้เอาพายไปฟาดพี่เค้านะ แลกพายกันอยู่)

ตอนแรกกะพายไปอีกเกาะ แต่ไม่ไหว อากาศเย็นมากกกก และใกล้มืด พวกเราเลยพายกลับ พี่อีกคนที่ถ่ายรูปนี้แหละ เรือล่มจ้า พวกเราเลยรับอาสาเป็นผู้กอบกู้ พาพี่เค้าเข้าฝั่ง เหนื่อยมากกกก ลากเรือไปด้วย พายไปด้วย พุงนี่ปวดไปหลายวันเลยทีเดียว 555

พอพวกเราพายเรือเสร็จก็ไปอาบน้ำ เราอยู่กัน 4 สาว ในบ้าน เตรียมดูบอลและทานข้าว (วันนั้น มีบอลไทยแข่งกับมาเลย์ พอดี)

1_5(วิวจากห้องพักประมาณนี้ สวยๆ ตอนเช้าหมอกลง ชิวมาก)

พออาบน้ำครบกันหมด พวกเราก็ไปสมทบทานข้าวเย็นเป็นกลุ่มสุดท้าย ก็มีคนดูบอลอยู่ ไทยโดนนำไปแล้ว 1 ลูก (ไรนี่เร็วไปไหม) แต่มารู้ว่าโดนจุดโทษก็เซงๆไป อาหารที่ตั้งไว้ เย็นเกือบหมดละ เนื่องจากพวกเรามาช้าเล็กน้อย

มีกับข้าว 4 อย่าง ถ้าจำไม่ผิดคือ ปลาทอดกระเทียม (อร่อยมาก ยังร้อนๆอยู่) หมูมะนาว (อันนี้หมูนุ่มดี อร่อยด้วย) ผัดผัก (อันนี้ก็ดีๆ) แล้วก็ ต้มยำ (อันนี้ไฟดับไปนานเย็นเจี๊ยบ แต่รสชาติก็โอ) โดยรวมอาหารอร่อย

วันนั้นมีบอล 80 นาทีแรก นี่พวกเรานั่งกันเงียบกริบ (น้องก้ามปูฮา พยายามบอกว่าโค้ชเราวางแผนบุกหลังนาทีที่ 80 ตอนนั้นน้องพูดประมาณ นาทีที่ 60) หลังจากผลออกมาว่าไทยแพ้ 2-3 แต่ได้แชมป์ ขนลุกอะ แบบ บรรยากาศการเชียร์บอลร่วมกับเพื่อนฝูง และคนแปลกหน้าบางคนที่มาร่วมวง ยินดีปรีดากัน มันดีมากอะ

1_6

(บรรยากาศในค่ำคืนนั้น ขนลุกมาก)

หลังจากการเชียร์บอลผ่านพ้นไป ก็เข้าสู่กิจกรรมร้องคาราโอเกะ และปิ้งย่าง

ควันตลบอบอวนมาก ไม่ได้ทานเพราะจุกมากแล้ว และที่ร้านมีเกี้ยวมื้อดึกมาให้ทานอีก (อยู่ในค่าแพ็คเกจ) ทานกันไม่ไหว

ร้องเพลงสนุกสนานมาก ได้เห็นความสามารถของน้องๆ และพี่ๆหลายๆคน 555 ส่วนเราก็เนียนร้องกับเค้าไปทั่ว และพบกับเพลงหากินใหม่ (คนมีความรักมักจะดูเด็กลงไปนิดนึงๆ อิอิ)

พอหมดเวลาร้องเพลง ประมาณ ห้าทุ่ม พวกเราก็จะไปเล่นอะไรกันต่อ (ก่อนหน้านั่นเล่นเกมดึง Tower อยู่พักนึงด้วย)


พอถึงหน้าบ้านพัก ตอนแรกก็งงว่าทำไมมืดมาก ที่จริงแล้ว พี่ที่มาก่อนปิดไฟ ถ่ายรูปดาวอยู่ คือ พอสายตาเริ่มชินกับความมืด เห็นดาวสวยมากกกกก เป็นอะไรที่ประทับใจ สุดๆละ ที่ประทับใจกว่าคือการเห็นดาวตก เห็นถึง 3 ครั้ง อากาศก็หนาวๆ มีน้องเปิดเพลงเพราะๆ คลอ เริ่ดมากกก

หลังจากดูดาวจนพอใจ และตัวแข็งเนื่องจากหนาวมาก (และไม่มีคนให้กอด) ก็เข้าไปนั่งเล่นต่อในห้องพักของน้อง (ผู้โชคร้าย) ที่พวกพี่จับฉลากได้มาเป็นที่เล่นไพ่ 555

พวกเราก็เล่นสลาฟกันขำๆ ไม่กินตังค์ ได้ตำแหน่งใหญ่สุดคือควีน ต่ำสุดก็สลาฟ ฮือออ ไม่เคยเป็นคิงเลย มีน้องคนนึง ไม่ยอมเลิกถ้าไม่ได้เป็นคิง แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่ได้เป็น จนพวกเราต้องยอมเลิกไปนอน ถึงจะยอม 555 วันนั้นก็ตีสองนิดๆ กว่าจะได้นอน


พวกเราไม่เปิดแอร์ เพราะอากาศหนาวมาก ผ้าห่มนี่เราเตรียมไปเอง 1 ผืน ยังไม่พอให้หายหนาว สรุปคืนนั้นนอนหนาวจ้า สั่นงกๆ แทบไม่หลับเลย พอตื่นมาเลยต้องไปอาบน้ำอุ่นให้หายหนาว ก็สดชื่นดีนะ

จบวันแรก… ไว้มาต่อวันที่ 2 จ้า

ก่อนวันเดินทาง – สิ่งที่ต้องเตรียมก่อนไปเที่ยวต่างประเทศ (สิงคโปร์)

เนื่องจากเราไปสิงคโปร์แค่ 4 วัน เลยไม่ต้องทำ วีซ่า แต่ใครไปมากกว่า 30 วันก็ต้องขอนะ


ขอแบ่งอย่างนี้ละกัน

1. ของสำคัญ  (เอกสารควรมีทั้งกระเป๋าเล็กและใหญ่)

2. ของใส่กระเป๋าเล็ก (ของผู้เขียนเอาไว้ใส่ของสำคัญขึ้นเครื่อง ขนาดที่พกไปยาวประมาณ A4 อะนะ )

3. ของใส่กระเป๋าใหญ่ (พอดีๆ เพื่อใส่ของฝากกลับมาได้นิดหน่อย เอาที่ยกง่ายๆ เข็นง่ายๆไว้ก่อนเพื่อต้องลากเดินไกลๆ)


ของสำคัญ (ของจริงไว้กระเป๋าเล็ก ถ่ายเอกสารไว้กระเป๋าใหญ่)

Passport ต้องมีอายุเหลือไม่ต่ำกว่า 6 เดือน (ดูจากวันที่เดินทางกลับ) เนื่องจาก passport ของผู้เขียนยังเหลืออีกหลายปีเลยชิวๆ

ตั๋วเครื่องบิน (ลองเลือกหลายๆที่แล้วเทียบราคาดู คืออาจลองพวกเว็บ http://www.expedia.co.th/ แล้วดูว่าขาไป-กลับที่เราอยากได้เค้าเอาสายการบินอะไรมาให้เรา แล้วเราก็ลองเข้าไปที่ของสายการบินนั้นเองเทียบ หรือ ถ้ารวมโรงแรมแล้วถูกกว่าก็อาจจองของเว็บนั้นไปเลย แต่ เราให้พี่อีกคนจองโรงแรมให้ แล้วได้ส่วนลดบัตรเครดิต ถูกกว่า เลยให้พี่เค้าจองแยกไปอะนะ

ขาไปผู้เขียนเลือก Air Asia http://www.airasia.com/ เพราะมีรอบ ที่ต้องไปขณะนั้นถูกสุด แต่เนื่องจากเป็นวันหยุดพอดี และรอบนี้คนจองเยอะ เลยก็ถือว่าแพงอะนะ 5015 บาท รวมทุกอย่าง ทั้งค่าขนกระเป๋า 20 Kg แล้ว คือไปคนเดียวมิอยากกังวลเลยโหลดขึ้นเครื่องไปเลย ราคานี้เป็นราคาที่ใช้หักบัญชีเสียค่าธรรมเนียมถูกสุดละ 40 บาทอะนะ แนะนำว่าถ้าไปรอบเช้ายังไม่มีไรทาน สั่งอาหารไว้ทานบนเครื่องเลยก็ดี ถูกกว่าเลือกได้ ถ้าไม่ได้เตรียมไร เพราะตอนขึ้นเครื่องไปมีแต่คนกินจะหิวมาก จนเราควักเงินซื้อข้าวบนเครื่อง 555 และเลือกไม่ได้มากด้วย)

ขากลับผู้เขียนเลือก Fly Scoot http://www.flyscoot.com/ เหตุผลใกล้เคียงกับขาไป อันนี้จ่ายด้วยบัตรเครดิตไปเนื่องจากเป็นสายการบินต่างประเทศ แต่คำนวนๆแล้วก็ยังคุ้มเลยเลือก ถึงแม้จะให้คิดค่าเงิน +% ไปนะ ราคา 3741.27 บาท ไม่กล่าเสี่ยงกับค่าเงินวันจ่ายบัตรเครดิตอาจแพงกว่าเลยยอม 555 อันนี้ก็รวมค่ากระเป๋าแล้ว ขากลับไม่ต้องทานอาหารก็ได้ มาทานที่ไทยเอา 555 ถูกกว่าเยอะ

ถ้าถามว่าประกันต้องมีไหม ก็แล้วแต่สำหรับเราไม่มีไรสำคัญมากเลยไม่ได้ทำ ไปไม่กี่วันด้วย

ถ้าถามว่าต้องจองที่นั่งไหม อืมถ้าอยากประหยัดก็ไม่ต้องก็ได้ ส่วนผู้เขียนเข้าห้องน้ำบ่อย อยากนั่งริมทางเดินอยู่แล้วเลยเฉยๆ แต่ถ้าใครอยากนั่งริมหน้าต่างชมวิวก็ลองดูอาจยอมเสียเงินเพิ่ม เพื่อเลือกที่เอานะ

– ใบจองโรงแรม หรือที่พัก

ก็แล้วแต่ว่าจะจองไปก่อน หรือ ไปตายเอาดาบหน้า แต่ถ้าอยากวางแผนเที่ยวก็ควรจองไปก่อน ได้รู้ว่าเราจะพักที่ไหน

เนื่องจากผู้เขียนไม่ได้ไปทัวร์ แต่พี่ที่ไปด้วยแนะนำว่า เราไม่ได้อยู่กับที่พักตลอด เอาแค่มีที่นอนดีๆก็พอไปเหนื่อยๆกลับมาได้สบาย เลยไม่ได้เลือกแบบที่ไปนอนรวมกับคนอื่น เลยได้เป็นโรงแรมมา

จองไปสองห้อง ให้พี่ผู้ชายนอนด้วยกัน แล้วเรานอนอีกห้องคนเดียวก็ ตกคนละ 3300 บาท (4 วัน 3 คืน)

– เงิน

เอาไปเท่าไหรดีใช่ไหม เราเอาไป $408 เหลือมา $204 (ครึ่งนึงพอดี) แต่ก็ไม่ได้ซื้อของฝากมากมาย ใครซื้อของฝากเยอะก็คำนวนกันเอานะ ที่ใช้ไปทั้งหมดก็เช่นพวกค่าเดินทาง ค่าอาหาร ค่าเข้าที่เที่ยว ต่างๆ ของฝากนิดหน่อยนะ เงินไทยก็ประมาณ 5278 บาท

ดังนั้นทริปนี้ ใช้เงินไปทั้งหมด = 5015+3741.27+3300+5278 = 17334.27 (ก็พอไหวนะกับหน้าเทศกาล วันหยุดยาว)

ถ้าถามว่าควรแลกที่ไหน ถ้าแลกไม่มากก็ตามธนาคารก็ได้นะ ค่ารถไปแลกถูกๆอาจไม่คุ้ม แต่ถ้ามากหน่อย ไปแถวสะพานควายก็ได้ มีหลายร้าน พี่ที่ไปด้วยแนะนำว่าแลกเหรียญ ได้ rate ถูกกว่าตั้ง 1 บาท แต่ก็ถ้าเยอะก็หนักนะ แต่พยายามอย่าแลกต่ำกว่า $1 ไม่งั้นก็ใช้ยากเหมือนกัน


ของใส่กระเป๋าเล็ก

– เราต้องการให้เบาที่สุด ได้สบายๆ เวลาไปห้องน้ำหรือขึ้นเครื่อง เลยมีของประมาณนี้

ของสำคัญ + แผนการท่องเที่ยว + กระเป๋าตังค์ + โทรศัพท์ (ใช้แทนกล้อง) + ปากกา + กระดาษโน๊ตเล่มเล็ก + ทิชชู่(เพื่อเข้าห้องน้ำ) + กุญแจกระเป๋าใหญ่ (ตอนแรกใส่น้ำขวดเล็กไปขวดนึงกะว่าจะกินเหลือให้พอกับที่เค้าอนุญาติขึ้นเครื่อง แต่กลัวทานเยอะไปปวดห้องน้ำ เลยทิ้งไปซะ)

ส่วนเสื้อกันหนาวเราใส่ขึ้นเครื่อง 1 ตัว


ของใส่กระเป๋าใหญ่

ชุด ก็ลองคำนวนกันเองว่าจะเอาไปยังไง ทั้งชั้นใน (เสื้อใน กางเกงใน) ชั้นนอก (เสื้อธรรมดา เสื้อนอน กางเกงธรรมดา กางเกงนอน ถุงเท้า รองเท้า(ผู้เขียนใส่ผ้าใบไป และเอาแตะเผื่อไป เผื่อฝนตกรองเท้าเน่าได้มีเปลี่ยน)) บางคนอาจใส่ซ้ำๆก็แล้วแต่สไตล์ 555

ถุงพลาสติก ขนาดใหญ่ (เอาไว้ใส่เสื้อผ้าที่ใช้แล้วแยกกับไม่ได้ใช้ หรือถ้าใครไปห้องอาบน้ำรวมได้ใช้เป็นที่ใส่ของไปห้องน้ำได้นะ สบายดี)

อุปกรณ์อาบน้ำ (โดยส่วนมากถ้าไปโรงแรมจะมี ยาสีฟัน แปรงสีฟัน สบู่ หมวกอาบน้ำ อะไรให้อยู่แล้ว แต่ก็อาจมีบางคนไม่ชอบก็เอาไปเองได้)

ก็สบู่ ยาสระผม แปรงสีฟัน ยาสีฟัน ผ้าเช็ดตัว (บางคนอาจมีที่ล้างหน้า เครื่องสำอางค์ ครีม อะไรก็แล้วแต่นะ ส่วนผ้าเช็ดตัวถ้าไม่แน่ใจว่ามีไหมที่ ที่พัก ก็เอาผืนเล็กๆน่ารักๆไปเผื่อก็ไม่เสียหาย)

อุปกรณ์เติมพลัง (เขียนซะ ก็พวกที่ชาจท์มือถือ หรืออื่นๆที่ต้องใช้สายพิเศษก็อย่าลืม สำหรับปลั๊กของสิงค์โปร บางโรงแรมทำให้ของไทยใช้ได้แล้วอะเลยไม่ต้องเอาที่แปลงไปก็ได้ แต่ถ้าใครกลัว เอาไปเผื่อสักหัวก็ได้แบบ international ใช้ได้ทั่วโลกไรงี้ แล้วถ้ามีอุปกรณ์เยอะ เอาปลั๊กพ่วงไปด้วยก็ได้)

อื่นๆ ก็แล้วแต่เลยคะ 555


มีแค่นี้จริงๆแหะ ที่เอาไป ที่จริงกระเป๋าผู้เขียนจะถือขึ้นเครื่องก็ไหวอยู่นะ ประมาณ 6-7 โลเอง แต่ไปคนเดียว ไปเจอพี่ๆเค้าที่โน้นเลยไม่อยากดูแลมากมาย และไม่ต้องมากังวลเรื่องเกินไม่เกินด้วยสบาย